วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2556

ชาวนากับเศรษฐีไม้เท้าทองคำ! ...บทที่ 2


บทที่ 2 ...ทำไม...

หนุ่มน้อยชาวนาถือหนูตัวนั้นเดินไปตามทางเพื่อจะกลับบ้าน...แต่ในสมองก็ ครุ่นคิดอย่างหนัก...จะทำอย่างไรดีกับหนูตัวนี้นะ...เกิดมาก็ไม่เคยทำการค้า กับเขาสักทีวันวันมีแต่ ทำไร่ไถนา เลี้ยงวัวเลี้ยงควายหรือไม่ก็ออกไปหาปูหาปลาเอามากินกัน...แล้วนี่ จะต้องสร้างตัวให้รวยที่สุด จากหนูตายหนึ่งตัวยิ่งคิดก็ยิ่งมองไม่เห็นหนทาง...แต่ก็ยังให้ความสนใจใน โอกาสที่เข้ามาในชีวิตจะปล่อยให้มันผ่านไป หรือจะไขว่คว้าไว้ดี...

"
หรือเราจะเข้าไปในตัวเมืองดีนะ"ชายหนุ่มคิดในใจ ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่อาจจะช่วยให้พบเจอหนทางที่จะก้าวเดินต่อไปยังเป้าหมายได้
"
หากกลับบ้านก่อนแล้วเข้าเมืองในวันรุ่งขึ้น หนูนี้อาจจะเน่าก็เป็นได้เอาวะ เพื่อองค์หญิงที่เป็นดั่งดวงใจ วันนี้เราจะไม่กลับบ้านแต่จะตรงเข้าเมืองพร้อมกับทุนที่พระราชาให้มานี้เป็น ไงเป็นกันสิน่า... แล้วค่อยกลับบ้านทีหลังก็ยังได้..."ว่าแล้วหนุ่มน้อยชาวนาก็เปลี่ยนเส้นทาง เดิน เพื่อตรงเข้าสู่ตัวเมือง.....
ระหว่างทาง เขาได้เจอชายชราคนหนึ่งกำลังหาบฟืนงกๆ เงิ่นๆ ...
"
คุณตา คุณตา..." หนุ่มชาวนาเรียก"ตาจะหาบฟืนไปไหนเหรอครับ..."
"
ข้าจะเอาฟืนเข้าไปขายในเมือง... แล้วเอ็งล่ะ จะไปไหนเร๊อะ"ชายชราเป็นฝ่ายถามบ้าง

"
ฉันก็จะเข้าไปในเมืองเหมือนกันจ้าตา" ชายหนุ่มตอบ"เจ้าจะไปธุระอะไรหรือ..." ชายชราถาม

"
ฉันจะไปสร้างตัวให้ร่ำรวยกว่าประชาชนคนไหนๆ ในเมืองจ้าตา..."
ชายชราหยุดเดิน แล้วหันมามองดูชายหนุ่มด้วยสีหน้าประหลาดใจ...
"
ไปสร้างความร่ำรวยด้วยตัวเปล่าๆ นี่น่ะเหรอวะ..." ชายชราอดที่จะถามไม่ได้...
"
เปล่าจ้าตา ฉันมีหนูมาด้วยหนึ่งตัวจ้า..." ชายหนุ่มตอบด้วยใบหน้าใสซื่อ..."แล้วไอ้หนูนี่ เป็นหนูวิเศษที่จะช่วยให้เจ้าร่ำรวยยังงั้นรึ..." ชายชราถามอีก

"
ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน..." ว่าแล้วชายหนุ่มก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ชายชราฟัง...

หลังจากฟังจบ ชายชราก็นิ่งเงียบ พูดอะไรไม่ออก...ชายหนุ่มเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ควรจะช่วยตาหาบฟืนดีกว่าตาจะได้เดินสบายๆ เข้าเมือง

"
มานี่ตา... ฉันหาบฟืนให้ตาเอง ไหนๆ เราก็จะไปทางเดียวกันแล้ว"พูดจบ ชายหนุ่มก็รีบเอื้อมมือไปยกเอาหาบฟืนจากบ่าชายชรา

"
ขอบใจเอ็งมากเลยว่ะ... วันนี้ข้าโชคดีแท้ๆ เลยที่เจอเอ็งแต่ข้าก็ไม่รู้จะช่วยเอ็งยังไงจริงๆ...ข้าขนฟืนจากป่าเข้าไป ขายในเมืองมาก็ตั้งหลายปี
ข้าก็ยังไม่เห็นจะรวยเลย นี่เอ็งมีหนูตายแค่ตัวเดียวแล้วเอ็งจะรวยได้ยังไงวะ..."

"
ไม่เป็นไรจ้าตา... ฉันจะลองดูให้ถึงที่สุดก็แล้วกัน"

ชายหนุ่มกับชายชรา คุยกันไปตลอดทางอย่างถูกคอจนมาถึงประตูเมือง... ก่อนจะเข้าประตูเมืองชายชราได้เอ่ยกับชายหนุ่มว่า...

"
มีสิ่งหนึ่งที่ข้าพอจะช่วยเจ้าได้ ก็คือ คำแนะนำ...การที่เจ้าจะยิ่งใหญ่จากดินขึ้นไปเป็นดาวนี่เจ้าจงอ่อนน้อมถ่อมตน ให้มากๆ...ความอ่อนน้อมถ่อมตน จะเป็นบันใดขึ้นสู่ที่สูงให้แก่เจ้าส่วนไอ้หนูตายตัวนั้น ข้าก็จนปัญญาจริงๆ ว่าจะให้เจ้าเอาไปขายให้ใคร..."

ขาย!!... ชายหนุ่มเกิดความคิดที่ดีขึ้นมาทันทีทีแรกก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร... พอชายชราพูดถึงเรื่องขาย...ทำให้เขารู้แล้วว่า.... จะต้องเอาหนูตัวนี้ไปเร่ขาย...
หลังจากหาบฟืนไปส่งชายชราที่ตลาดสดแล้วชายหนุ่มก็กล่าวอำลาชายชราคนนั้น เพื่อเดินเร่ขายหนูตัวนั้นต่อไป
ไม่ว่าจะเจอใคร เขาก็จะร้องถามขายหนู พร้อมกับยกหนูให้ดูไปด้วย...ถ้ากลุ่มที่เจอเป็นหญิง ก็จะมีเสียงกรี๊ดกร๊าด ดังจนแสบแก้วหูเลยทเดียว...
เดินถามมาจนเหนื่อย ก็ไม่เห็นมีใครมีทีท่าว่าจะซื้อเลยสักคนแล้วนี่มันจะขายได้ไหมเนี่ย.....

หลังจากเดินจนรอบตลาดแล้ว ก็ยังหาคนซื้อไม่ได้เขาจึงตัดสินใจเดินออกจากตลาด เพื่อไปเดินขายตามบ้านผู้คน...

ตั้งแต่เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ เขาก็เพิ่งจะเคยเข้าเมืองครั้งนี้เป็นครั้งแรก..ความอลังการ ความตื่นตาตื่นใจ สีสรรของเสื้อผ้าความากมายของผู้คน สร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้กับเขาทำให้เขาไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย...
ยิ่งเห็นสิ่งของแปลกๆ ก็ยิ่งทำให้เขาอัศจรรย์ใจยิ่งนัก

อย่างก้อนเหล็กยาวๆ รีๆ ประมาณมือจับได้พอดีที่เขาเห็นใครๆ เอาไว้แนบหู แล้วก็พูดคุยคนเดียวอย่างกับคนบ้า บางคนก็เดินพูด บางคนก็นั่งพูดซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าพวกนั้นทำอะไรกันจนมีคนบอกเขาว่า นั่นน่ะ เขาเรียกว่าโทรศัพท์มือถือและอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย ที่เขาเคยเห็นเป็นครั้งแรก

คนบ้านนอกอย่างเขา อย่าว่าแต่โทรศัพท์มือถือเลยโค้กกระป๋อง เขาก็ยังไม่เคยเห็นเลยถ้าไม่มีไอ้หนูตัวนี้ ชาตินี้เขาคงไม่มีโอกาสมาเห็นอะไรๆ แบบนี้อย่างแน่นอน...

ในขณะที่เดินเพลิดเพลินชมกรุง ดูเทคโนโลยีสมัยใหม่เพลินๆเขาก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งเรียก...

"
ไอ้หนุ่ม... ไอ้หนุ่ม..."

เขาหันไปมองตามทิศทางของต้นเสียงก็เจอชายวัยกลางคน พุงพลุ้ย ยืนอยู่หน้าบ้าน"เอ็งหิ้วหนูจะเอาไปทิ้งถังขยะเหรอวะนั่น..." ชายวัยกลางคนถามขึ้น"เปล่าจ้า... ฉันกำลังเดินเร่ขายหนูตัวนี้อยู่จ้าลุง..." ชายหนุ่มตอบ"บ่ะ... เอ็งนี่ ท่าจะบ้าว่ะ... ข้าเคยเห็นแต่ใครๆเขาเอาหนูตายไปทิ้งขยะแต่เอ็งกลับเอามาขาย แล้วใครเขาจะซื้อวะ..."
"
ไม่รู้เหมือนกันลุง... อาจจะมีสักคนที่เขาอยากจะซื้อก็ได้จ้า" ชายหนุ่มตอบด้วยความซื่อ

"
เอางี้ก็แล้วกัน... ข้าซื้อไปให้แมวข้ากินก็ได้แต่ข้าให้แค่บาทเดียวนะ เกินกว่านั้น ข้าไม่ซื้อหรอกว่ะ..."ชายหนุ่มดีใจจนออกนอกหน้า...

"
บาทเดียวก็บาทเดียวจ้าลุง..." ว่าพลางก็ยื่นหนูส่งให้ชายวัยกลางคนทันที

หลังจากรับเงินเหรียญบาทมาหนึ่งเหรียญเขาก็ดีใจเป็นที่สุด...ดีใจที่สามารถ ขายหนูได้จริงๆ...แบบนี้สิ เขาเรียกว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น...
"
จากหนูตายหนึ่งตัว กลายมาเป็นเงินหนึ่งบาทแล้วเราจะทำยังไงต่อล่ะทีนี้ ถึงจะทำให้เรารวยได้" ชายหนุ่มยืนพินิจพิจารณาเหรียญบาทที่อยู่ในมือในขณะที่สมองก็ครุ่นคิดไป ด้วย"เถ้าแก่ เก้าแก่..."เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นข้างๆเขา
"
วันนี้จะซื้ออะไรบ้างล่ะครับ..."ชายคนที่ซื้อหนูเขาไปนั่นเองคือเถ้าแก่
เขาทักทายปราศัยชายคนที่เรียกนั้นเป็นอย่างดีไอ้หนุ่มชาวนายืนดูเหตุการณ์ ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอยู่เบื้องหน้าจนชายคนนั้นจากไป ความสงสัยทำให้เขาถามเถ้าแก่ออกไปว่า"ลุง เอ้ย เถ้าแก่ครับ... ผู้ชายคนนั้น เขาซื้อของไปทำไมตั้งเยอะแยะครับ..."
"
เขาซื้อเอาไปขายน่ะสิ... ร้านอั๊วเป็นร้านขายส่ง คนขายของส่วนใหญ่ก็จะมาซื้อของที่นี่แหล่ะ"ถึงแม้เขาจะไม่เคยเป็นพ่อค้าแต่ ฟังเท่านั้นเขาก็พอจะเดาออกแล้วว่าคนมาซื้อของที่นี่ แล้วก็เอาไปขายต่ออีกที"แล้ว... หนึ่งบาทของผมนี่ จะซื้ออะไรเถ้าแก่ได้บ้างครับ"เขาถามขึ้น

เถ้าแก่มองหน้าเขาพร้อมกับยิ้มที่มุมปาก แล้วตอบไปว่า"ไม่รู้จะซื้ออะไรได้บ้างนะ หนึ่งบาทเนี่ย...เอาอันนี้ไปก็แล้วกัน..."

พูดจบเถ้าแก่ก็หยิบน้ำตาลปึกที่อยู่ข้างๆ ส่งมาให้หนุ่มน้อยชาวนา 2 ก้อน...

เขารับเอามาพร้อมกับจ่ายเงินหนึ่งบาทนั้นให้เถ้าแก่คืนไปแล้วก็เดินจากมา...

ชายหนุ่มถือน้ำตาลปึกเดินไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าจะเอาไปขายให้ใครเหมือนกัน
จนมาถึงหน้าโรงงานแห่งหนึ่ง คนกำลังเลิกงานพอดีเขารีบคลี่น้ำตาลปึกออกจากห่อ แล้วถามขายให้ผู้คนทันที

คนแล้วคนเล่า ไม่มีใครซื้อเขาเลยจนเดินมาถึงรถเข็นขายของคันหนึ่ง
เขาหยุดยืนพักอยู่ข้างๆ สิ่งที่เขาเห็นก็คือคนงานหยุดซื้อของจากรถเข็นคันนี้เรื่อยๆในรถเข็นมีของ หลายสิ่งหลายอย่างให้เลือกซื้อดูแล้วน่าสนใจ ผิดกับเขา ที่ถือห่อน้ำตาลปึกสองก้อนดูแล้วมันไม่น่าซื้อซะเลย...

พอแม่ค้าว่าง เขาจึงเดินเข้าไปทักทายด้วยความอ่อนน้อมด้วยจิตใจที่งดงามของเขา ด้วยมารยาทที่ดีทำให้เขาสามารถได้มิตรไมตรีจากแม่ค้าคนนั้นเขาขอแม่ค้าวาง น้ำตาลปึกของเขาเพื่อขายด้วยแม่ค้าก็ยินดีให้วางได้...

ขณะที่รอขายของ เขาก็ซักถามพูดคุยกับแม่ค้าไปเรื่อยเปื่อยแต่สิ่งหนึ่งที่เขาได้รู้จากแม่ ค้าก็คือ...แม่ค้าคนนี้ ขายของแบบนี้มา 10 ปีแล้วกำไรที่ได้ ก็พออยู่ได้ไปเดือนชนเดือนจะให้ร่ำรวยนั้นเป็นไปไม่ได้หรอก

"
แล้วป้าไม่คิดจะไปทำอย่างอื่นที่ทำให้รวยได้เหรอครับ..."เขาถามขึ้น

"
ก็เพราะไม่รู้จะไปทำอะไรน่ะสิ... ที่ทำได้ก็ที่เห็นนี่แหล่ะเกิดไปทำอย่างอื่นแล้วไม่ได้อย่างที่คิดจะทำอย่าง ไรล่ะจะเอาเงินที่ไหนซื้อข้าว เอาเงินที่ไหนเลี้ยงลูกป้าไม่กล้าเสี่ยงหรอก..."แม่ค้าอธิบายเหตุผลให้ชาย หนุ่มฟัง

เขาได้ฟังแม่ค้าบอกดังนั้น ก็เข้าใจทันทีเลยว่าเหตุใด คนที่อยากรวยหลายๆคน จึงไม่รวยเพราะความเสี่ยงนี่เอง...คนไม่กล้าเสี่ยง ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง ก็เลยต้องทำอย่างที่เคยทำอยู่ทุกวันเพราะมันมีความมั่นคงกว้า....
"
แม่ค้า.. น้ำตาลปึกนี่ ขายยังไงคะ..."เสียงคนงานสาวคนหนึ่งดังขึ้น ดึงเขาออกมาจากความคิด"อันละบาทจ้าหนู เหลือแค่สองอันเอง หนูจะเอาหมดเลยไหม"แม่ค้าถามกลับ

"
เอาสองอันเลยก็ได้ค่ะ... จริงๆแล้ว หนูอยากดื่มน้ำอ้อยมากกว่าแต่ไม่เห็นมีใครเอามาขายเลย"สาวโรงงานบ่นให้แม่ ค้าฟัง พร้อมกับจ่ายเงินค่าน้ำตาลปึกแล้วก็เดินจากไป

"
โห... ป้า ไอ้น้ำตาลปึกนี่มันขายได้ก้อนละหนึ่งบาทเลยเหรอ"หนุ่มน้อยชาวนาถามขึ้น
"
เขาก็ขายก้อนละบาทกันทั้งนั้นแหล่ะ... อ้าวนี่เอ็งเอามาขาย เอ็งไม่รู้เหรอว่าเขาขายก้อนละเท่าไร"

"
ไม่รู้ครับ..." เขาทำหน้าอายๆพร้อมกับรับเงิน 2 บาทจากแม่ค้า สักพักก็ขอลากลับบ้านตอนนี้เขามีเงิน 2 บาทแล้ว...

ระหว่างที่จะเดินทางกลับบ้านนอกเขาก็คิดขึ้นมาได้ว่า ไม่รู้จะกลับไปทำไมพ่อแม่ของเขาก็ไม่มี เขาอยู่ตัวคนเดียวมาตั้งแต่เด็กบ้านของเขาก็หามีไม่ อาศัยหลับนอนศาลาเก็บศพเก่าๆที่เขาเลิกใช้กันไปแล้ว ข้าวของก็แทปไม่มีอะไรเลยอีกอย่าง ระยะทางก็ไกลโขเอาการอยู่ทีเดียว
และที่สำคัญ เขาจะต้องสร้างตัวให้ร่ำรวยภายใน 1 ปีเวลาของเขามีน้อยเหลือเกิน

เท้าไวเท่าความคิด...เขาเปลี่ยนเส้นทางทันที มุ่งหน้าสู่บ้านของเถ้าแก่
เพราะไม่รู้จะไปทางไหน ที่พอนึกได้ก็บ้านของเถ้าแก่คนเดียวเท่านั้น...

ไม่นานนัก เขาก็ยืนอยู่หน้าบ้านเถ้าแก่เขารู้สึกลังเล เก้ๆ กังๆ ไม่รู้จะเข้าไปดีหรือไม่ตัดสินใจอยู่นานทีเดียวที่สุดก็ตัดสินใจอย่างเด็ด เดี่ยวที่จะเข้าไปขอพึงพิงเถ้าแก่

"
อ้าว... พ่อหนุ่ม... มาซื้ออะไรอีกเหรอ ร้านอั๊วจะปิดแล้วนะ"เถ้าแก่ทักขึ้นเมื่อเห็นหนุ่มน้อยชาวนาเดินเข้ามาหาเขา ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า"หวัดดีอีกครั้งครับเถ้าแก่... พอดีผมขายน้ำตาลปึกหมดแล้วได้เงินมาสองบาทแน่ะครับ"ไม่รู้จะบอกยังไงที่จะขอ พักอยู่ที่นี่สักคืนก็เลยพูดเฉไฉไปเรื่องอื่นแทน...

"
แล้วนี่ ลื้อจะมาซื้อเอาไปขายอีกเร๊อะ..." เถ้าแก่ถามขึ้น

"
เปล่าครับ พอดีบ้านผมอยู่บ้านนอก ห่างจากที่นี่ไกลมากๆผมเลยตั้งใจว่าจะมาขออาศัยพักกับเถ้าแก่สักคืนผมทำงาน แลกก็ได้นะครับ"ชายหนุ่มรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง เพราะได้บอกความต้องการออกไปแล้วรอแต่เพียงคำตอบจากเถ้าแก่ ซึ่งก็ทำเอาหัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะอยู่เหมือนกัน

เถ้าแก่นิ่งคิดอยู่อึดใจใหญ่ๆ เพราะรู้สึกไม่ค่อยจะไว้ใจเขาสักเท่าไรแล้วก็ตัดสินใจตอบไปว่า

"
เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวลื้อไปนอนที่โรงปลาทูของอั๊วคืนนี้เขานึ่งปลาทูกัน ลื้อก็ช่วยงานเขาเท่าที่ทำได้ก็แล้วกัน"พูดจบเถ้าแก่ก็หันไปหาลูกน้องคน หนึ่งพร้อมกับสั่งว่า

"
อาโยเอ้ย ตอนลื้อจะกลับไปโรงปลาทู พาอ้ายหนุ่มคนนี้ไปด้วยนะให้อีช่วยงานลื้ออะไรก็ได้ แล้วหาที่หลับที่นอนให้อีด้วยล่ะ"คนงานชื่อโย รับคำเสร็จก็ทำงานต่อ

ไม่ต้องรอให้ใครบอก หนุ่มน้อยชาวนาก็กุลีกุจอ ช่วยงานนายโยอย่างแข็งขัน...หลังจากปิดร้านเสร็จ เพื่อนใหม่ชื่อโย ก็พาเขาไปยังโรงปลาทู...

เมื่อคืนที่ผ่านมา หนุ่มน้อยชาวนาก็ได้รู้จักอาชีพอีกอาชีพนั่นก็คือ ลูกจ้าง ก็จากการพูดคุยกะนายโยเพื่อนใหม่นี่แหล่ะ...โยทำงานอยู่กับเถ้าแก่มาแล้ว 3 ปีหนุ่มน้อยชาวนาก็ได้รู้อีกว่า ถ้าเขาทำงานอย่างโยอย่าว่าแต่ 1 ปีเลย ตลอดชีวิตก็ไม่สามารถรวยได้

หลังจากกินข้าวกินปลากันเสร็จเรียบร้อยโยก็พาหนุ่มหน้อยชาวนาไปยังร้าน เถ้าแก่เพื่อเตรียมเปิดร้านแต่เช้า...ตอนกลางวัน โยต้องมาช่วยเถ้าแก่ที่ร้านตอนกลางคืน ต้องนึ่งปลาทูตอน ตี 2 ถึงตี 4เขาจะได้นอน 2 ช่วง คือ หลังจากเก็บร้านเสร็จแล้วกลับโรงงานปลาทูก็อาบน้ำกินข้าวนอน
และมาตื่นตอน ตี 2- ตี 4นึ่งปลาทูเสร็จเขาก็กินข้าวเช้าและมาเปิดร้านให้เถ้าแก่

ชายหนุ่มเคยถามโยว่า ไม่อยากทำงานอย่างอื่นหรือโยบอกเขาว่า ความรู้น้อย ไม่รู้จะไปทำอะไรก็เลยต้องำงานอยู่กับเถ้าแก่แบบนี้แหล่ะ...

คำตอบของโยทำให้หนุ่มน้อยชาวนานึกถึงแม่ค้าขายของหน้าโรงงาน...
และอีกคนที่เขานึกถึงคือ หลาวพี่เปี้ยก พระที่เขารู้จักเขาเคยถามหลวงพี่ว่า หลวงพี่เคยคิดอยากจะลาสิกขาไหมหลวงพี่เปี้ยกบอกเขาว่า คิดหลายครั้งเหมือนกันแต่ถ้าลาสิกขาออกไปแล้ว ก็ไม่รู้จะไปทำมาหากินอะไร.. นอกจากคนทั้งสามนี้แล้ว คงมีคนอีกมากมาย ที่คิดแบบนี้

ที่บ้านเถ้าแก่หลังจากช่วยนายโยกับคนงานอื่นๆ จัดร้านเสร็จแล้ว
หนุ่มน้อยชาวนา ก็รอโอกาสให้เถ้าแก่ว่าง

"
เถ้าแก่ครับ... เถ้าแก่รวยที่สุดในเมืองนี้หรือเปล่าครับ"หนุ่มน้อยชาวนาถาม

เถ้าแก่อึ้งไปเล็กน้อย แล้วตอบว่า"ไม่หรอก.. อั๊วก็แค่พอมีทรัพย์สินเงินทองบ้างเท่านั้นแหล่ะมีคนรวยกว่าอั๊วอีกตั้งเยอะ แยะ... ลื้อถามไปทำไมวะ"หนุ่มน้อยชาวนาจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้เถ้าแก่ฟัง

"
โอ้โห... ให้รวยที่สุดในเมืองภายในหนึ่งปีนี่นะ...มันเป็นไปไม่ได้เลยล่ะ... ข้าทำมาหากินมาเกือบทั้งชีวิตก็เพิ่งจะพอมีบ้างเท่าที่เห็นนี่แหล่ะ...ข้า ว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก ลื้อเลิกคิดซะเถอะว่ะ..."

"
ผมตั้งใจแล้วครับ ขอทำให้ถึงที่สุดก็แล้วกันครับ"ชายหนุ่มหยุดคิด แล้วพูดต่อว่า"เมื่อวานวันเดียว จากไม่มีอะไรเลย ผมยังหาเงินได้ตั้งสองบาทแล้วครับ..."เขารู้สึกภาคภูมิใจกับผลงานของเขาเป็น อย่างมากส่วนเถ้าแก่ ก็หัวเราะ ชอบใจอยู่ในลำคอด้วยความเอ็นดู..."แล้วใครรวยสุดในเมืองนี้หรือครับ..." ชายหนุ่มถาม

"
อืมมมมมม.... ข้าว่า น่าจะเป็นเศรษฐีไม้เท้าทองคำว่ะเห็นแกสร้างตึกสูงล้ำ เสียดฟ้าแทงเมฆนั่งคิดคำนวณตัวเลข ทุกค่ำทุกเช้า คิดจะเอากำไรมีที่ดินตั้งหมื่นแสนไร่ รถยนต์มากมาย ยิ่งกว่าร้านขายรถยนต์บริวาร วิ่งกันสับสน แกเลี้ยงผู้คน แทนฝูงวัวควาย..."เถ้าแก่วิเคราะห์ให้ชายหนุ่มฟัง...

"
เถ้าแก่แนะนำทางไปบ้านเขาให้ผมหน่อยสิครับ... ผมจะไปหาเขา"ชายหนุ่มถามพร้อมกับทำหน้าตาจริงจัง

"
เขาจะให้แกพบเหรอวะ... เวลาเขาเป็นเงินเป็นทอง"

"
ไม่เป็นไรครับ... บอกทางผมเถอะครับ ผมจะเสี่ยงดวงเอาเอง"เห็นแววตามุ่งมั่นของหนุ่มน้อยชาวนาแล้ว เถ้าแก่ก็เลยบอกทางให้... 
R$�4� � X�� Л ินมาให้เรื่อยๆ โดยที่เราเป็นผู้นั่งควบคุมการทำงานของเงิน

"ไม่น่าเชื่อว่าเราจะสามารถมีเงินเป็นลูกน้อง ทำงานหาเงินให้เรา"

ขณะที่เฝ้ารอธุรกิจใหม่ เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์
การเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ไม่ใช่จะเข้าได้เพียงชั่วข้ามคืน
ขบวนการตรวจสอบต่างๆ ต้องใช้เวลา
ซึ่งมันก็กินเวลาที่เหลืออยู่ของหนุ่มน้อยชาวนาให้หมดไปด้วย...

เดือนสุดท้ายผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มไม่สามารถที่จะสร้างฝันให้เป็นจริงขึ้นมาได้
ไม่สามารถที่จะสร้างตัวร่ำรวยที่สุดในเมืองได้ ภายในเวลา ปี...


"มีไม่กี่คนหรอกนะ ที่ไปถึงฝันที่ตนเองตั้งไว้ ตามเวลาที่กำหนด"
เสียงเศรษฐีไม้เท้าทองคำเอ่ยขึ้น ทำลายความเงียบสงบ
ชายหนุ่มหันหน้าไปตามเสียงนั้น ด้วยสีหน้าเรียบเฉย


"การตั้งเป้าหมายไว้ ก็เพื่อให้ตัวเรามีทิศทางที่จะเดินไปหา
การกำหนดระยะเวลา หรือเส้นตาย ก็เพื่อเร่งเร้าตัวเราเอง
การที่เธอก้าวขึ้นมายืน ณ จุดนี้ได้ ก็เพราะเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของเธอนั่นเอง...
ถึงแม้เวลาที่ตั้งไว้ มันจะหมดลงไปแล้ว แต่เธอก็เดินมาได้ไกลกว่าครึ่ง
และที่สำคัญ... ถ้าเธอจะสู้ต่อ เธอก็สามารถไปถึงฝันได้อย่างแน่นอน"
คำพูดของเศรษฐี กระตุ้นให้ชายหนุ่มคิดตาม แต่เขายังพูดอะไรไม่ออก...


"เป้าหมาย สลักไว้บนแผ่นหิน...
...แผนงาน เขียนลงบนผืนทราย"
พูดจบ เศรษฐีก็นิ่งเงียบให้ชายหนุ่มได้คิด

"เหตุผลว่า ทำไมแผนงาน จึงต้องเขียนลงบนผืนทราย
ทำไมจึงไม่สลักไว้บนแผ่นหินเหมือนเป้าหมาย เธอคงเข้าใจสินะ"
เศรษฐีถามขึ้น

"เข้าใจครับ เพราะว่า... กว่าจะไปถึงเป้าหมายได้
เราคงต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการ เปลี่ยนแปลงแผนงานเรื่อยๆ
เมื่อ วิธีนี้ ใช้ไม่ได้ ก็ต้องลบทิ้งเพื่อเปลี่ยนเป็นอีกวิธี
แต่ทุกวิธี ก็เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย ซึ่งสลักไว้บนแผ่นหิน ไม่มีวันลบเลือน"
ชายหนุ่มตอบด้วยความมั่นใจ


"ฉันเข้าใจ ทุกอย่างที่เธอทำทั้งหมด ก็เพื่อองค์หญิง
เธอจึงต้องทำตัวเอง ให้เข้าเงื่อนไขที่พระราชาตั้งไว้
เพื่อให้ได้รับสิทธิ ในการเข้ารับการคัดเลือก...
แต่ฉันว่า ฉันอ่านอะไรในใจของเธอบางอย่างออกนะ"
เศรษฐีตั้งข้อสงสัย

"อะไรหรือครับ" ชายหนุ่มถามขึ้น

"ถึงแม้วันนี้ เธอสามารถเข้าเงื่อนไขของพระราชา
ฉันก็คิดว่า เธอคงลำบากใจ และตัดสินใจไม่ถูก
ว่าจะเข้าร่วมคัดเลือกหรือไม่"
เศรษฐี เอ่ยขึ้น ทำเอาชายหนุ่มอึ้งไปเหมือนกัน

"ท่านรู้ความคิดของผมด้วยหรือครับนี่" ชายหนุ่มถามออกไป


"รู้สิ... เลือดนักธุรกิจ มันฝังเข้าไปในสายเลือดของเธอแล้ว
เธอไม่อยากทิ้งเส้นทางสู่ความสำเร็จนี้ เพื่อไปใช้ชีวิตในอีกแบบ
ความท้าทายของโลกธุรกิจ มันปลุกเร้าเธอ กระตุ้นให้เธอกระชุ่มกระชวย..."
เศรษฐียิ้มให้ชายหนุ่ม


"จริงครับ... บางครั้ง ผมยังแอบดีใจเลย ที่ผมทำไม่สำเร็จในเวลานี้
และบางครั้ง ผมก็คิดว่า ผมไม่ใช่ในแบบที่จะเป็นนั้น
แต่ แบบที่กำลังเป็นอยู่นี่แหล่ะ คือตัวผม
การอภิเสกสมรสกับองค์หญิง ทำให้ผมต้องเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตไป...
ซึ่ง นั่น ไม่ใช่ผมแน่ๆ"
ชายหนุ่มพูดด้วยความหนักแน่น


"แล้วองค์หญิงล่ะ" เศรษฐีถามขึ้น

"ที่ผ่านมา เหมือนกับผมหลอกตัวเองเรื่ององค์หญิง
ไม่มีโอกาสพูดคุย ไม่มีโอกาสได้รู้จัก
เห็นเพียงแค่รูปลักษณ์ที่แสนจะสวยงามเท่านั้น
และที่สำคัญ ผมเองนั้น คู่ควรกับองค์หญิงหรือไม่"
ชายหนุ่มเปิดใจ

"ผมคงจะอึดอัดมากเลย หากได้อภิเสก จริงๆ
ความรู้สึกต่ำต้อยของตัวเอง มันจะต้องหลอกหลอนไปจนวันตายแน่ๆ
ผมคงรับไม่ได้กับการที่ตัวเอง ไม่สามารถเป็นผู้นำครอบครัวได้อย่างสมบูรณ์...
ผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไร.... มันเหมือนกับว่า
ผมทนไม่ได้ที่จะเป็นชายหนุ่มผู้โชคดี เหมือนหนูตกถังข้าวสาร
อาจจะมีหลายๆ คนอยากจะเป็นแบบนั้น...
แต่ผมไม่... ผมอยากเป็นผู้นำครอบครัว ด้วยลำแข้งของผมเอง"


"เธอก็ไม่ต่างอะไรกับฉันหรอก...
ในวันที่ฉันเพิ่งจะเริ่มสร้างเนื้อสร้างตัว ยังเป็นพนักงานบริษัทอยู่
ฉันมีโอกาสได้พบรักกับลูกสาวเจ้าของบริษัท
ใครๆ ก็รู้ว่าเรารักกัน และก็ไม่มีใคร ขัดขวางด้วย
แม้แต่ครอบครัวของเธอ..."
เศรษฐีเล่าความหลังให้ชายหนุ่มฟัง

"ฉันยังโชคดีกว่าเธอ ที่ได้มีโอกาสคบหากัน
เราก็รู้ว่า เรารักกัน แต่..."


"ฉันรับไม่ได้กับความรู้สึกต่ำต้อย เมื่อเข้าไปอยู่ในครอบครัวของเขา
มันเหมือนกับฉันไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้
ฉันอยากจะเป็นผู้นำโดยสมบูรณ์
อยากประสบความสำเร็จด้วยลำแข้งของตนเอง
ฉันจึงเข้าใจเธอไงล่ะ"


"แล้วเธอคนนั้นไปไหนล่ะครับ ท่านไม่ได้แต่งงานกันเหรอครับ"
ชายหนุ่มถามขึ้น


"ไม่ได้แต่งงานกันหรอก... ฉันขอเวลาสร้างตัว ปี
ใน ปีนี้ เราจะเป็นอิสระต่อกัน เมื่อครบ ปีแล้ว
หากเราทั้งคู่ยังไม่มีคนอื่น เราค่อยมาสานต่อเรื่องความรักของเรา"
เศรษฐีเล่าถึงความหลังอีกครั้ง

"ปีที่ เท่านั้น เธอก็แต่งงานกับลูกชายเศรษฐีคนหนึ่ง
ซึ่งตอนนั้น ฉันก็ยังสร้างเนื้อสร้างตัวไปไม่ถึงไหน"


"แล้วท่านเสียใจมากไหมครับ" ชายหนุ่มถามขึ้น


"ไม่รู้สินะ วันแรกที่รู้เรื่อง ก็เจ็บแปล๊บๆ บ้าง
แต่ฉันดีใจที่เธอได้คนที่เหมาะสมกับเธอมากกว่า
เธอคงมีความสุข มากกว่าอยู่กับฉัน"


"แล้วนี่เธอจะทำอย่างไรต่อไปล่ะ..." เศรษฐีถามกลับ


"ผมก็จะลุยต่อไปครับ เป้าหมายของผม ยังเหมือนเดิม
คือ รวยที่สุดในเมืองนี้ แต่ไม่ใช่เพื่อให้ได้เข้าเงื่อนไขแล้วนะครับ
แต่เพื่อพิสูจน์ศักยภาพ ของการเกิดมาเป็นคน ๆ หนึ่ง
ว่าจะมีศักยภาพสักแค่ไหน
ในเมื่อคนเหมือนกันทำได้ ผมก็ต้องทำได้เช่นกัน"
ชายหนุ่มตอบ




#############################
วันเวลาผ่านไป ธุรกิจของชายหนุ่มสามารถเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้
ทีละตัวสองตัว ราคาต่อหุ้น เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวนัก
สร้างผลกำไรให้กับชายหนุ่มเป็นอย่างมาก


ทุกธุรกิจ ถึงแม้จะเจอปัญหาอุปสรรค์ก็จริง
แต่ก็สามารถฟันฝ่าอุปสรรค์ไปได้ด้วยดี
และเจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
รวมทั้งมีธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้นเช่นกัน


กลับมาข้างฝ่ายพระราชาบ้าง
พระราชาได้กำหนดการ เรียกชุมนุมองค์ชายจากเมืองต่างๆ
เพื่อเข้าสู่พิธีคัดเลือกราชบุตรเขย

ในวันที่ทุกอย่างพร้อมแล้ว พระราชาก็ทรงให้นำขบวนออกประพาสป่า
พระราชาทรงพาคณะประพาสป่าด้วยความเกษมสำราญ
จนเมื่อถึงที่เหมาะๆ แห่งหนึ่ง พระราชาทรงให้หยุดขบวน

"เราจะหยุดพักกันที่นี่" พระราชาตรัสขึ้น

เหล่าผู้ติดตามทั้งหลาย ต่างก็จัดแจงทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง
หลังจากทุกอย่างเข้าที่เข้าทางเรียบร้อยแล้ว
พระราชาทรงขึ้นประทับยังพระที่นั่ง
องค์ชายจากเมืองต่างๆ เรียงรายอย่างเป็นระเบียบ
พร้อมทั้งเหล่าเสนา-อำมาต ที่รอถวายบังคมอยู่แล้ว
ต่างพากันกล่าวคำถวายบังคมอย่างพร้อมเพียงกัน


เมื่อถวายบังคมเสร็จ องค์หญิงก็ทรงประทับนั่งยังพระที่นั่งของพระองค์
วันนี้ องค์หญิงทรงสวยงามสดใสเป็นพิเศษกว่าทุกวัน
เนื่องจากทรงเป็นวันสำคัญของพระองค์
ถึงแม้โลกจะเปลี่ยนไปขนาดไหนก็ตาม
แต่พระองค์ก็ทรงยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเภณี
พระองค์ ไม่เคยลิ้มลองความรักเลย เนื่องจากไม่เคยมีโอกาสได้คบหากับใคร...
และพระองค์ก็เข้าใจดีว่า... พระองค์ต้องทรงเลือกคู่ครองด้วยวิธีนี้
วิธีที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ
ใครก็ตาม... ที่ได้รับการคัดเลือกในวันนี้
เขาคนนั้นคือคู่ครองของพระองค์
ทันใดนั้นเอง.....


"ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท"
ทุกสายตาต่างหันมาจับจ้องที่ทหารเสนารักษ์ผู้เดินเข้ามายังหน้าพระที่นั่ง


"มีอะไรรึ..." พระราชาทรงถามขึ้น


"มีชายคนหนึ่ง จะขอเข้าเฝ้า พะย่ะค่ะ" ทหารรายงาน


"ใครกันรึ..." พระราชาทรงถาม


"เขาให้ทูลว่า เขาคือชาวนาคนที่พระราชาทรงให้หนูตายกับเขาเพื่อสร้างตัว พะย่ะค่ะ"
ทหารรายงานต่อ


"อ้อ... เจ้าหนุ่มชาวนาคนนั้นนั่นเอง... ให้เขาเข้ามาได้"
พระราชาทรงจำชายหนุ่มได้


อึดใจเดียว ทั้งเสนารักษ์และชายหนุ่มก็มาอยู่ต่อหน้าพระที่นั่งแล้ว
ทุกสายตา ต่างจับจ้องมาที่ชายหนุ่ม ซึ่งบัดนี้
ไม่เหลือหลอของคราบชาวนาจนๆ อีกเลย
แต่กลับอยู่ในภาพของนักธุรกิจผู้สง่างาม ดุจดังเทพบุตรจุตติลงมาเกิด
องค์ชายทุกพระองค์ ต่างก็จดจำคู่แข่งคนสำคัญนี้ได้เป็นอย่างดีเช่นกัน
รวมทั้งองค์หญิงด้วย....


ในพระทัยขององค์หญิง เต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก
พระกรของพระองค์สั่นขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
ทรงร้อนวูบวาบ ไปทั่วพระวรกาย
ไม่ต้องบอก พระองค์ก็รู้ดีว่า พระพักตร์ของพระองค์ต้องแดงอย่างแน่นอน...


"ถวายบังคมพะยะคะ"
ชายหนุ่มทำการถวายบังคมพระราชา


"ทำตัวตามสบายเถอะ..."
พระราชาตรัสกับชายหนุ่ม


"เป็นพระมหากรุณา พะยะคะ"
ชายหนุ่มกลับคืนสู่ท่าปกติ


"เป็นอย่างไรบ้างล่ะ... หนึ่งปีผ่านไป มันช่างรวดเร็วเหลือเกินนะ"
พระราชาถามขึ้น


"พะยะคะ" ชายหนุ่มน้อมรับคำ


"แต่หม่อมฉัน ไม่สามารถสร้างตัว ให้รวยที่สุดในเมืองได้ทันเวลา พะยะคะ"
ชายหนุ่มทูลขึ้น


"เรารู้แล้ว..."
พระราชาตรัสขึ้น

"เรารับรู้เรื่องราวของเธอ จากเศรษฐีไม้เท้าทองคำ ตลอดเวลา
เพราะเศรษฐีไม้เท้าทองคำ เป็นสหายของเราเอง"
พระราชาตรัสต่อ ขณะที่ชายหนุ่มอึ้งไปกับสิ่งที่ได้ยินมา


"เศรษฐีไม้เท้าทองคำ บอกกับเราว่า...
ในไม่ช้านี้ เธอจะต้องเป็นคนรวยที่สุดในเมืองนี้ อย่างแน่นอน"
พระราชาตรัสอย่างชื่นชมชายหนุ่ม


"หม่อมฉันมาในวันนี้ เพื่อแจ้งให้พระองค์ทรงทราบว่า
หม่อมฉันไม่สามารถสร้างตัวให้เข้าเงื่อนไขได้...
เพราะหม่อมฉันไม่ทราบว่าพระองค์ทรงรู้เรื่องนี้แล้ว พะยะคะ"
ชายหนุ่มกราบทูลพระราชา


"ไม่เป็นไรหรอก...
ในเมื่อเธอไม่สามารถทำตามเงื่อนไขได้
เธอก็ต้องยอมรับว่าเธอหมดสิทธิในการเข้ารับการแข่งขันคัดเลือกกับองค์ชายอื่นๆ"
พระราชาตรัสออกมา

"แต่เธอก็สามารถอยู่ร่วมชมการคัดเลือกนี้ได้ เราอนุญาต"


"เป็นพระมหากรุณาแก่หม่อมฉันอย่างเหลือล้น พะยะคะ"
ชายหนุ่มก้มลงถวายบังคม


องค์หญิงได้ยินการสนทนามาโดยตลอด
เมื่อถึงตรงนี้ พระหฤทัยของพระองค์ เจ็บแปล๊บขึ้นมา
เหมือนถูกทิ้มแทงด้วยสิ่งของแหลมคม
พระองค์ทรงกลั้นพระอัสสุชล
ที่อยู่ๆ ก็เอ่อล้นขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ไม่ให้หลั่งออกมา

"ทำไมเราจึงรู้สึกเจ็บแปล๊บแบบนี้ด้วยนะ"
องค์หญิงทรงดำริอยู่ในพระทัย

"เราไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย
ครั้งแรกที่ได้เจอเขา เราก็รู้สึกอีกแบบ อย่างมีความสุข
พอได้รู้ว่าเขาไม่มีสิทธิเข้ารับการคัดเลือก
เรากลับรู้สึกในอีกแบบ อย่างมีความทุกข์"

"ทำอย่างไรได้ล่ะ...
เราต้องทำตามประเภณี
ถ้าให้เราเลือกคู่ครองเองได้
เราคงเลือก เขาคนนี้อย่างแน่นอน"
องค์หญิงทรงพยายามซ่อนความรู้สึกเหล่านี้ไว้ในพระหฤทัย



"เอาล่ะ.... ณ เวลานี้ เราจะได้ทำการคัดเลือกราชบุตรเขย"
พระราชาทรงประกาศให้ทุกคนได้ทราบ


"เราได้เตรียมวิธีการไว้เรียบร้อยแล้ว
ใครที่สามารถเอาชนะในข้อคัดเลือกของเราได้
ผู้นั้น จะเป็นผู้ที่ได้อภิเสกกับธิดาของเรา"
พระราชายังคงตรัสอย่างทรนงค์องอาจ


"กติกามีอยู่ง่ายมาก..."
พระราชาตรัสขึ้น

"ใครก็ตาม ที่สามารถทำให้ช้างของเรา ยกขาขึ้นได้พร้อมกันทั้ง สี่ขา
คนผู้นั้นจะเป็นผู้ชนะการแข่งขันนี้"
พระราชาบอกเงื่อนไขการแข่งขัน พร้อมกับคิดในพระทัยว่า
แม้แต่ควาญช้างทุกคน ก็ไม่สามารถทำได้
อำมาตย์ผู้หนึ่ง ที่ทรงคิดเงื่อนไขนี้ให้พระองค์
กราบทูลว่า เขาเคยเป็นควาญช้างมาก่อน
รับรองว่า วิธีนี้ ไม่มีผู้ใดทำได้อย่างแน่นอน

ควาญช้างทำได้อย่างเก่งที่สุดก็ ยกเพียง สามขา เท่านั้น
ขนาดยก สามขา ก็ยังหาผู้ที่จะฝึกช้างได้ยากยิ่งนัก... 

บทที่ 10 ...ฝันที่เป็นจริง...

เจ้าชายองค์แล้วองค์เล่า ต่างก็ทยอยกันเข้าไปควบคุมช้าง เพื่อให้ยกขาทั้ง ข้างให้ได้... แต่ก็ยังไม่มีองค์ชายองค์ใด ทำได้สำเร็จสักพระองค์ ชายหนุ่มนั่งเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลาไม่ได้คาดสายตา ในใจก็รอลุ้นว่า องค์ชายท่านใดนะ จะเป็นผู้ชนะ พร้อมกับนึกขำในข้อค้นหาราชบุตรเขยของพระองค์ ไม่เข้าใจว่า เหตุใด พระราชา จึงใช้วิธีการนี้ วิธีที่ดูเหมือนง่ายๆ แต่ไม่ง่ายเลย อีกอย่าง ใครจะไปคาดคิดล่ะว่า... การทำช้างให้ยก ขาได้ จะกลายเป็นราชบุตรเขย

เวลาล่วงเลยไปหลายชั่วโมง ยังไม่มีองค์ชายองค์ใด ทำได้สำเร็จ ทุกพระองค์ ที่ทรงยอมแพ้กลับมา ต่างก็ส่ายพระพักต์กันถ้วนหน้า... บางพระองค์ แม้แต่จะขึ้นประทับบนคอช้าง เพื่อทรงบังคับเองก็ยังไม่กล้า... แต่ก็มีหลายพระองค์ ที่ทรงขึ้นบังคับช้าง เพื่อหวังที่จะเป็นผู้ชนะให้ได้ แต่ก็ต้องทรงกลับลงมาด้วยความผิดหวังกันทั้งสิ้น

และแล้ว ก็เหลือองค์ชายอีกเพียงแค่ องค์ รวมทั้งองค์ที่นั่งสงบนิ่ง อยู่ข้างๆ ชายหนุ่ม ดูท่าทางองค์ชายองค์นี้ จะมั่นใจซะเหลือเกินว่าพระองค์ ทรงสามารถทำได้ พระองค์ไม่ว๊อกแว๊กเลยแม้แต่น้อย อย่างมากก็ทรงพระสลวลเล็กน้อย เมื่อมีองค์ชายบางองค์ ทรงทำอะไรขำๆ

ชายหนุ่มมององค์ชายองค์นี้ อย่างพินิจพิเคราะห์ รู้สึกถูกชะตาด้วยเป็นพิเศษ... ดูพระองค์ ทรงเป็นคนกระตือลือล้น มีแววตามุ่งมั่น และเด็ดเดี่ยว หากพระองค์ ทรงเป็นนักธุรกิจแล้วล่ะก็ คงจะประสบความสำเร็จอย่างมากมายเลยทีเดียว

"ขอประทานอภัย องค์ชาย" ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น "พระองค์ทรงรู้วิธีบังคับช้าง ให้ยกสี่ขา ได้ใช่ไหม พะยะคะ" ชายหนุ่มถามต่อ
"ทำไมเธอจึงคิดว่าเรารู้วิธีล่ะ" องค์ชายถามกลับ
"กระหม่อมเห็นองค์ชาย ดูมีความมั่นใจ มากๆ ไม่ทรงกระวนกระวายใดๆ ให้เห็นพะยะคะ"

ชายหนุ่ม กับองค์ชาย สนทนากันได้ไม่นานเท่าไร องค์ชาย พระองค์ที่เหลือ ก็กลับลงมาด้วยความผิดหวัง เพราะไม่สามารถบังคับช้างได้ และก็ถึงคิวองค์ชายองค์สุดท้าย... คือองค์ชายที่สนทนากับชายหนุ่มเมื่อสักครู่นี้เอง

องค์ชายลุกขึ้นยืน ด้วยท่าทางสง่างาม พระองค์หันมายิ้มให้ชายหนุ่ม ก่อนที่จะเดินออกไปสู่ลานกว้าง... ที่ล้านกว้างนั้น มีช้างที่จะใช้แข่งขันยืนอยู่ ข้างๆ ช้าง ยังมีควาญช้างคอยควบคุมกำกับอยู่ข้างๆ ป้องกันช้างตื่นกลัวตกใจ ช้างที่พระราชา ทรงเลือกมาเป็นช้างเพื่อแข่งขันนั้น ได้ทรงคัดเลือกช้างที่เชื่องที่สุดแล้ว เพื่อความปลอดภัยขององค์ชายทุกพระองค์

เมื่อเดินไปถึงช้าง องค์ชายทรงยืนนิ่งๆ ที่ด้านหน้าช้าง ทรงมองเข้าไปที่ดวงตาของมัน เหมือนกำลังส่งกระแสจิตอะไรบางอย่าง สักครู่ พระองค์ ก็เดินอ้อมไปทางด้านซ้ายของช้าง ทรงใช้มือลูบไล้ไปตามตัวของมันจนเลยไปถึงด้านหลัง... แล้วก็อ้อมไปทางด้านขวาของช้าง จนเลยไปถึงหัว เหมือนพระองค์ ทรงสำรวจ หรือทำพิธีอะไรก็มิทราบได้

ความเงียบสงบปกคลุมสถานที่แห่งนี้ไปโดยปริยาย ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่องค์ชาย เพราะองค์ชายมาแปลก ต่างจากองค์ชายองค์อื่นๆ ซึ่งต่างก็ ขึ้นทรงช้างเลย เพื่อบังคับช้างให้ได้ดั่งใจ แต่องค์ชายท่านนี้ กลับเดินวนไปวนมา รอบๆ ช้าง มือก็คลำไปตามลำตัวช้างอยู่เป็นนานสองนาน ส่วนสายตากลับมองออกไปบริเวณรอบๆ ข้างๆ ช้าง เหมือนกำลังทรงใช้สมาธิอย่างมาก หรือพระองค์ ทรงมีเวทย์มนต์นะ...

ทันใดนั้นเอง... องค์ชายก็พละออกมาจากช้าง แล้วเดินตรงไปทางด้านข้างเล็กน้อย เมื่อเดินมาได้ไม่กี่ก้าวพระองค์ก็ทรงหยุด และก้มลงเก็บอะไรบางอย่างขึ้นมาจากพื้น...

หิน.... มันเป็นหินนั่นเอง องค์ชายทรงหยิบหินก้อนใหญ่เต็มฝ่ามือขึ้นมาถือ ก้อน... จากนั้นพระองค์ก็ทรงลุกขึ้นยืน และเดินเข้าไปหาช้างเชือกนั้น ขณะเดินไป พระองค์ก็จับหินฝาดใส่กันด้วยมือทั้งสองข้าง เสียงหินกระทบกันดัง ปั๊ก ปั๊ก... ทามกลางสายตาที่จดจ้องไปที่องค์ชาย ต่างก็พากันสงสัยยิ่งนัก กับการกระทำของพระองค์ พระองค์กำลังจะทำอะไรกันแน่นะ... เห็นเดินเคาะหิน วนไปวนมา รอบๆ ตัวช้างหรือกำลังใช้เวทย์มนต์เช่นเดิม...

องค์ชายเดินอ้อมตัวช้าง จนมาหยุดอยู่ที่ด้านท้าย แล้วพระองค์ก็ทรงเงื้อหินสองก้อนขึ้น และทุบหินประกบกันเข้าสุดแรง ตรงไข่ช้าง

แปร้น!!!....... เสียงช้างร้องดังสนั่นไปทั่ว พร้อมกับกระโดดสี่ขาขึ้น ด้วยความเจ็บปวดและตกใจ

.............. คนรอบข้างต่างอึ้งไปกับเหตุการนั้น........
...................................................................

สักพัก... เสียงเฮ ก็ดังสนั่นหวั่นไหว เสียปรบมือดังกึกก้องไปทั่วป่าแห่งนี้ ทุกผู้คนต่างยินดีกับความสำเร็จขององค์ชาย สร้างความสับสนอลม่านไปทั่ว เมื่อความดีใจ ค่อยๆผ่อนคลายลง ผู้คนต่างก็เริ่มทยอยกลับเข้าที่เดิม มีเพียงองค์ชายองค์เดียวเท่านั้น ที่ยังคงยืนสง่างามอยู่ท่ามกลางสายตาของทุกคน

หลังจากเสียงต่างๆ ได้เงียบลง พระราชาทรงประกาศว่า... "อีก เดือนข้างหน้า เราจะจัดงานอภิเสกสมรส ให้องค์ชายท่านนี้ กับพระราชธิดาของเรา" สิ้นเสียงพระราชา เสียงเฮด้วยความดีใจก็ดังกระหึ่มขึ้น...


ที่บ้านเศรษฐีไม้เท้าทองคำ... เศรษฐีกำลังนั่งอยู่กับชายหนุ่มที่โต๊ะรับแขก "ฝีมือเธอใช่ไหม พ่อหนุ่ม" เศรษฐีเอ่ยขึ้น
"เรื่องอะไรครับท่าน"
"ก็เรื่องที่องค์ชายผู้ชนะการแข่งขันนั่นไง ฉันเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง ที่เธอแนะนำองค์ชาย" ชายหนุ่มยังคงนั่งนิ่งๆ... "แต่ฉันพอจะเข้าใจเธอนะ ว่าทำไมจึงทำเช่นนั้น"

"ครับ... ผมบอกวิธีให้กับองค์ชายไปเอง เพราะผมอยากให้เรื่องนี้มันจบๆ ลงไป ไม่อย่างนั้น การอภิเษก เลื่อนออกไปเป็นปีหน้า มันก็จะมาคอยหลอกหลอนจิตใจของผม หากผมยังมีโอกาสอยู่"

"ผมได้ไตร่ตรองดูเป็นอย่างดีแล้ว ท่ามกลางระหว่างที่องค์ชายแต่ละพระองค์ เข้าไปแข่งขัน จิตใจผมก็ครุ่นคิด หากผมได้อภิเษก... ผมก็ต้องทิ้งโลกของธุรกิจไป เพราะผมคิดว่า มันไม่สง่างามเลย หากพระราชา จะเปิดทำธุรกิจโน่น นี่ มากมาย โลกของธุรกิจ มันหมิ่นเหม่กับคำว่า จริยธรรม"

"สิ่งที่เราทำถูกต้อง ในบางครั้ง ในสายตาของบางคน กลับคิดว่า เราเอาเปรียบ ดังนั้น หากพระราชา ทำธุรกิจไปด้วย คำครหาต่างๆ ย่อมมีมากมายอย่างแน่นอน"

"ผมถามใจตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า ระหว่างอยู่ในโลกธุรกิจ กับ โลกของพระราชา ที่ไหน ที่ผมจะมีความสุขที่สุด... คำตอบที่ผมได้รับคือ... โลกของธุรกิจ มันมีความท้าทาย มันมีอะไรให้ได้ค้นหา มันมีอะไรต่างๆ ให้ได้ทดสอบความสามารถ มันมีรสชาติต่างๆ ที่ผมต้องการ"

"ผมคิดว่าโลกของพระราชา น่าจะเหมาะสมกับเหล่าองค์ชายจากเมืองต่างๆ มากกว่า เพราะพวกพระองค์ ทรงเข้าใจและลึกซึ้ง กับโลกของเหล่าพระองค์เป็นอย่างดี ...ส่วนผมเอง ก็หลงใหลเสน่ห์แห่งโลกธุรกิจ มันเป็นเหมือนลมหายใจเข้าออกของผม ถึงแม้วันนี้ ผมจะล้มละลาย มันก็คงจะไม่แตกต่างจากวันแรก วันที่ผมเข้าเมืองมาด้วยตัวเปล่าๆ กับหนูตายอีก ตัว ดังนั้น ผมก็พร้อมที่จะลุกขึ้นสู้ใหม่"

เศรษฐีไม้เท้าทองคำ มองเห็นแววตามุ่งมั่นของชายหนุ่ม มันมีประกายแวววาวเหมือนกับเพชรเม็ดงามกระทบแสง ท่าทางที่กระตืดรือร้นของเขาอีกอย่าง ช่างไม่ต่างอะไรกับเศรษฐีในยามหนุ่มเลย เศรษฐีไม้เท้าทองคำ แอบมั่นใจอยู่ลึกๆ ว่า เพียงไม่กี่ปีหรอก ชายหนุ่มคนนี้ จะทยานขึ้นมาอยู่แถวหน้าของโลกธุรกิจ


อีก ปีผ่านไป.... ชายหนุ่มก็ผงาดขึ้นมาอยู่แถวหน้าอย่างที่ เศรษฐีไม้เท้าทองคำคิดไว้ ธุรกิจทุกตัวของเขา ขึ้นมาเป็นผู้นำอันดับหนึ่ง ทิ้งห่างคู่แข่งออกไปเรื่อยๆ ทั้งยังมีธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้นอีกมากมาย


"น่าแปลกใจนะครับ ท่าน" ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นกับเศรษฐีไม้เท้าทองคำ
"เรื่องอะไรเหรอ" เศรษฐีถาม
"ก็... ผู้คนมากมายพยายามค้นหาเคล็ดลับ เพื่อจะประสบความสำเร็จในธุรกิจที่เขาทำ พยายามหาหนทางที่ยุ่งยากซับซ้อน ด้วยหวังว่า นั่นคือหนทางที่ถูกต้อง นั่นคือเคล็ดลับที่ยิ่งใหญ่"

"ทั้งๆ ที่ ความจริงแล้ว... การจะประสบความสำเร็จ ใช้แค่เรื่องง่ายๆ ไม่ได้มีเคล็ดลับอะไรซับซ้อนเลย"
"ขอเพียงมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ บวกกับหัวใจที่มุ่งมั่น... เรื่องอื่นๆ ก็จะพัฒนาขึ้นมาตามสัญชาตญาณของมนุษย์"

"มันไม่ได้ต่างอะไรกับคนที่อยากจะกินมะพร้าวน้ำหอม แล้วพยายามผ่าออกมากินด้วยตนเอง ครั้งแรกๆ ถึงแม้จะผ่าออกมาได้สำเร็จ และมะพร้าวก็อาจจะเละตุ้มเปะไปเลยก็ได้ แต่หากผ่าบ่อยๆ ย่อมเกิดความชำนาญ สุดท้าย ก็ไม่ต่างจากแม่ค้ามืออาชีพ"

"แต่คนส่วนใหญ่ ก็ลงมือผ่ามะพร้าวเพียงไม่นาน แล้วก็ถอดใจ ก่อนที่จะผ่าได้จนสำเร็จ และก็บอกกับตัวเองว่า ฉันคงทำไม่ได้หรอก ทุกอย่างก็จะหยุดลง" เศรษฐีไม้เท้าทองคำเอ่ยขึ้นบ้าง

สองสายตาของมหาเศรษฐีทั้งคู่ประสานกัน พร้อมกับรอยยิ้มให้กันและกัน

"เราคงไม่สามารถช่วยคนที่ขาดความมุ่งมั่น ให้เขาไปถึงเป้าหมายของเขาได้หรอก เพราะเขาต้องเดินบนเส้นทางของเขาเอง ตัดสินใจก้าวแต่ละก้าวด้วยตัวของเขาเอง ตัดสินใจเลี้ยวซ้ายและเลี้ยวขวาด้วยตัวของเขาเอง"

"ใช่ครับ... เราก็คงทำได้แค่ให้แนวคิดกว้างๆ เพื่อให้เขานำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับเส้นทางเดินของเขา ให้เหมาะสมกับความเป็นตัวตนของเขา"
"ผมนึกถึงวันแรกที่ผมได้พบท่าน แล้วก็อดที่จะขำไม่ได้" ชายหนุ่ม ยิ้มออกมา
"ทำไมหรือ"
"ก็วันนั้น ผมตั้งใจไว้ว่า ผมจะทำตามที่ท่านบอกทุกอย่าง ประมาณว่า เหมือนกับท่านต้องเขียนบทละครให้กับผม.... แล้วผมก็จะเล่นตามบทละครนั้น"
"ไม่ว่าท่านจะให้เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา ผมก็จะทำตามโดยไม่บิดพลิ้ว เพื่อที่ผมจะได้ประสบความสำเร็จเหมือนกับท่าน ประมาณว่า ผมจะเลียนแบบเส้นทางสู่ความสำเร็จของท่าน"

"ฮ่า ฮ่า ฮ่า... อย่าแปลกใจไปเลยพ่อหนุ่ม ยังมีคนอีกมากมาย ที่คิดแบบนั้น แล้วสักวัน เขาก็จะเข้าใจเอง...
เหมือนที่เธอเข้าใจอยู่ตอนนี้ไง"

สองเศรษฐีผู้ยิ่งใหญ่ ต่างมีเรื่องราวมากมาย มาเล่าสู่กันฟังได้เรื่อยๆ เพราะเขาทั้งสอง คือผู้ที่ผ่ามะพร้าวน้ำหอมได้อย่างชำนาญแล้ว อยากจะกินเมื่อไรก็ผ่ากินได้เมื่อนั้น อย่างง่ายดายพร้อมกับตั้งใจกันว่า จะส่งเสริมใครก็ตาม ที่อยากจะผ่ามะพร้าวน้ำหอมกินเองให้เป็น...

แล้วในวันข้างหน้า... เราก็จะมีเศรษฐีใหม่ เข้ามาร่วมวงสังสรรค์กับเรา จากการช่วยเหลือของพวกเรา คนแล้วคนเล่า...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น