วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2556

ชาวนากับเศรษฐีไม้เท้าทองคำ!..บทที่ 9


บทที่ 9 ...เป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืน...

ชายหนุ่มนำตัวเองเข้าสู่สังคมของผู้ประกอบการต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็น หอการค้า สมาคม ชมรม ฯ
จุดประสงค์ของเขาก็คือ เพื่อได้พบกับผู้ประกอบการที่กำลังเจอวิกฤติ

แน่นอน... เขามีเวลาเหลือแค่ 4 เดือน เพื่อโอกาสสุดท้ายในการจะรวยที่สุด...
ถึงแม้เขาจะยังมองไม่เห็นหนทางเลย
แต่เขาก็ไม่ย่อท้อสักนิด ไม่เคยคิดที่จะถอดใจ
ยังคง มุ่งมั่น แน่วแน่ หาโอกาสต่อไป...


วันเวลาก็ยิ่งผ่านไป...
แต่เขาก็ยังไม่เห็นโอกาสเหมาะๆ
ถึงแม้จะมีผู้ประกอบการที่เจอวิกฤต หลายๆ กิจการก็ตาม
เขาได้ให้คำแนะนำ ตามวิสัยทรรศน์ ที่เขามองเห็น
เพื่อแก้ปัญหาให้กับ ผู้ประกอบการเหล่านั้น
สิ่งที่เขาให้ไป... ก็ส่งผลให้เขามีผู้คนนับหน้าถือตามากขึ้นเรื่อยๆ


จากการที่เขาได้พบปะพูดคุยกับนักธุรกิจหลายๆ คน
เขามองเห็นทัศนคติของคนประสบความสำเร็จกับคนที่ล้มเหลว
อย่างหนึ่งเลยก็คือ ทัศนคติต่อปัญหาที่พบเจอหรือปัญหาต่างๆ ที่จะเจอในการทำงาน

"เคยมีคนถามผมว่า... ผมไม่เจอปัญหาอุปสรรค์ในการทำงานบ้างเลยหรือ
เพราะดูเหมือนว่าผมทำธุรกิจตัวไหน มันก็ช่าง่ายดายซะเหลือเกิน"
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นกับเศรษฐี และพูดต่อว่า

"ผมนิ่งคิดอยู่ตั้งนาน ก็ไม่เห็นว่าตัวเองจะเจอปัญหาเรื่องไหนหนักหนาสาหัสซักตัว
แต่พอได้พูดคุยกับนักธุรกิจที่ล้มเหลว ปัญหาต่างๆ ที่เขายกมาพูดคุย มันเป็นปัญหาที่ผมก็เจอมาเหมือนๆ กัน
สำหรับพวกเขา มันเป็นปัญหาที่ใหญ่และเป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จ
แต่สำหรับผม เรื่องเหล่านั้น ไม่เคยเข้ามาอยู่ในสมองของผมเลย
เพราะผมมองว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย ยังไงก็ต้องเจอ เจอแล้วก็แก้ไข แก้ไขเสร็จก็ไปเจออันใหม่อีก แล้วก็แก้ไขต่อไป
มันเป็นเรื่องที่จะต้องเกิดควบคู่กับการดำเนินธุรกิจอยู่แล้ว"

เศรษฐียังคงนั่งฟังเงียบๆไม่แสดงความคิดเห็นอะไร ชายหนุ่มยังคงพูดต่อไปอีก

"เช่นเดียวกับนักธุรกิจส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จ เขาไม่ได้มองเห็นเรื่องเหล่านั้นเป็นปัญหาเลย"

"ถูกต้อง ความคิดจึงมีผลโดยตรงต่อคนที่ประสบความสำเร็จและคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ
คิดเช่นไรก็จะเป็นเช่นนั้น" เศรษฐีสนับสนุนความคิดของชายหนุ่ม และพูดต่อว่า
"และหากอยากประสบความสำเร็จ ต้องเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในกลุ่มประสบความสำเร็จ เพราะเขาจะพูดถึงแต่เรื่องที่จะทำให้สำเร็จ
และหากอยากประสบความล้มเหลว ก็เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในกลุ่มคนล้มเหลว เพราะเขาจะพูดถึงแต่หนทางที่ทำให้ล้มเหลว
คนเรา มักจะมีความคิด ความเชื่อ ทัศนคติ และความสำเร็จ ไม่ต่างไปจากกลุ่มเพื่อนฝูงที่เราคบเท่าไรหรอก"


###################################

"นีคือคุณเอก เจ้าของไอศกรีมชื่อดังครับ"
เพื่อนนักธุรกิจคนหนึ่ง แนะนำให้ชายหนุ่มได้รู้จักเพื่อนใหม่

"คุณเอก เขากำลังเผชิญกับวิกฤตธุรกิจอย่างหนัก
ผมคิดว่า คุณอาจจะให้คำชี้แนะกับเขาได้
เพราะผมเองก็แก้ปัญหาได้จาก คำแนะนำของคุณ"
เพื่อนผู้แนะนำเพื่อนใหม่พูด


"สวัสดีครับ และยินดีที่ได้รู้จักครับคุณเอก..." ชายหนุ่มทักทาย

"สวัสดีครับท่าน ผมได้ยินชื่อเสียงของท่านจากเพื่อนหลายๆ คน
วันนี้ยินดีมากๆ เลย ที่ได้มีโอกาสพบเจอด้วยตนเอง"
คุณเอก เอ่ยขึ้น


"คุณเอกชมเกินไปแล้วล่ะครับ....
ผมไม่ได้มีความสามารถอะไรขนาดนั้นเลย
เพื่อนๆ เขาให้เกียรติพูดถึงผม ผมก็ดีใจมากครับ
แต่ผม ไม่ได้เก่งอย่างที่เขาพูดกัน จริงๆ นะครับ"
ชายหนุ่มตอบกลับ


การสนทนาดำเนินต่อไป จนเข้าสู่เรื่อง วิกฤตทางธุรกิจไอศกรีม ของคุณเอก

"ธุรกิจของผม มีหุ้นส่วนทั้งหมด 3 คน
สัดส่วนการถือหุ้น 40:30:30 ผมถือ 40 ครับ"
เอกเริ่มเล่าเรื่องธุรกิจไอศกรีมของเขาให้ชายหนุ่มฟัง

"ปัญหาที่เกิดตอนนี้คือ หุ้นส่วนทะเลาะกัน
และทั้ง 2 คน ยืนยันคำเดียวว่า จะถอนหุ้น
และแบ่งทรัพย์สินกัน"
เอกยังคงเล่าต่อ

"สาเหตุที่ทะเลาะกันก็เพราะ พี่ไก่ เขาลงมาล้วงลูกการบริหารงานของผม
ผมเป็นกรรมการผู้จัดการ ความคิดของผมคือ
หุ้นส่วนมีหน้าที่คุมนโยบาย ส่วนผมบริหารบริษัทให้เป็นไปตามนโยบาย
หากผมไม่สามารถทำให้เป็นไปตามนโยบายไม่ได้
ค่อยมาลงลึกถึงจะถูก แต่พี่ไก่กลับเข้าไปตามแผนกต่างๆ
และสั่งการโน่น-นี่ ตามอำเภอใจ ทำให้ผมบริหารงานยาก
พี่ไก่ให้เหตุผลว่า เป็นเจ้าของบริษัทเหมือนกัน ย่อมมีสิทธิสั่งงาน
ผมพยายามอธิบายเท่าไรก็ไม่ฟัง คงกลัวพนักงานไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเจ้าของ
เลยอยากแสดงบารมีบ้าง"
เอกหยุดเว้นช่วงการพูด หลังจากร่ายยาวมาแล้ว
ส่วนชายหนุ่มก็นั่งฟังอย่างตั้งใจและวิเคราะห์ตาม

"เมื่อพี่ไก่ไม่พอใจผม ก็เลยไปใส่ไคร้ผมให้พี่หญิง หุ้นส่วนอีกคน
เขาคงจะเผาผมหลายเรื่องมาก จนพี่หญิงคล้อยไปตามเขา
และก็มาถึงจุดแตกหัก คือ ปิดกิจการเพื่อแบ่งทรัพย์สิน
หรือไม่ ผมก็ต้องซื้อหุ้นของพวกเขาทั้งหมด
ผมไม่มีเงินซื้อหุ้นของพวกเขาได้หรอกครับ
ไอ้หุ้นที่ลงไปนั้น ผมก็ยังเป็นหนี้อยู่เลย"
เอกพูดพร้อมกับทำสีหน้ากังวลใจ

"คุณเอก อยากให้ผมช่วยเรื่องอะไรครับ"
ชายหนุ่มถามขึ้น


"ผมไม่อยากปิดบริษัทครับ เพราะธุรกิจกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี
ร้านไอศกรีม กำลังขยายสาขาไปยังห้างต่างๆ"
พูดจบ เอกก็นำเอกสารต่างๆ ให้ชายหนุ่มดู


การพูดคุยซักถามเป็นไปอยู่สักพัก
ชายหนุ่มเองก็มองเห็นโอกาสการขยายตัวของธุรกิจไอศกรีมของเอก...
ว่าจะดำเนินไปได้สวยแน่ๆ


"ท่านสนใจร่วมลงทุนกับธุรกิจของผมไหมล่ะครับ"
เอกถามขึ้น ชายหนุ่มได้ฟังคำถาม ก็นิ่งคิดสักพักก่อนจะตอบออกไปว่า...

"ผมคงต้องหารือกับที่ปรึกษาก่อนนะครับ แล้วผมจะให้คำตอบอีกที"



สามวันผ่านไป.... หลังจากการประชุมหารือของที่ปรึกษา
ก็ได้ข้อสรุปว่า ธุรกิจมีอนาคต สู้กับตลาดได้สบายๆ
และยังสามารถขยายสาขาออกไปสู่ต่างประเทศได้ด้วย
เพราะความโดดเด่นของรสชาติ และอีกหลายๆ เรื่อง
เหมาะที่จะร่วมลงทุนด้วยเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนเรื่องเงินลงทุน ที่ปรึกษาสรุปกันว่า
ต้องเขียนแผนธุรกิจใหม่ พร้อมกับเสริมเรื่องการนำธุรกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์
รวมทั้งการขยายธุรกิจออกสู่ต่างประเทศ
น่าจะทำให้ธนาคารสนใจที่จะปล่อยเงินกู้ในโครงการนี้

ด้วยความสามารถของที่ปรึกษา
ทำให้การปล่อยกู้ของธนาคารรวดเร็วกว่าขั้นตอนการปล่อยกู้แบบปกติมาก...
ทำให้ชายหนุ่มได้ร่วมลงทุนกับธุรกิจไอศกรีมของเอก
ถึงแม้ชายหนุ่มจะถือหุ้นใหญ่ แต่ชายหนุ่มก็ให้เอกบริหารเหมือนเดิม
เนื่องจากเอกมีประสบการณ์และชำนาญการเรื่องนี้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว
ชายหนุ่มเพียงแต่ส่งที่ปรึกษาเข้าไปดูแลเรื่องนโยบายบริษัทเท่านั้น


นอกจากธุรกิจไอศกรีมของเอกแล้ว
การเอาตัวเองเข้าไปใน ชมรมและสมาคมต่างๆ ของนักธุรกิจ
ทำให้ชายหนุ่มได้โอกาสดีๆ มาถึง 7 ธุรกิจ
ทุกธุรกิจ ชายหนุ่มเน้นในเรื่องที่จะเข้าเงื่อนไขในการที่จะนำเข้าตลาดหลักทรัพย์เป็นหลัก...
นั่นคือ หากร่วมลงทุนแล้ว ต้องเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้
รวมทั้งเป็นตลาดที่มีอนาคต...


"นอกจากเธอเองที่เจอวิกฤต...
ก็ยังมีคนอีกมากมายที่กำลังเจอวิกฤตเช่นกัน...
ธุรกิจดีๆ หลายๆ ตัว ต้องปิดกิจการลง
เพราะผู้บริหารไม่สามารถแก้ไขวิกฤตนั้นได้..."

"มันน่าเสียดายธุรกิจดีๆ เหล่านั้นเหลือเกิน...
หากเธอเข้าไปเจอธุรกิจเหล่านั้นได้ถูกจังหวะ
โอกาสก็จะเป็นของเธอ...."
ชายหนุ่มนึกถึงคำพูดของเศรษฐีไม้เท้าทองคำ


ชายหนุ่มนึกถึงช่วงแรกๆ ที่เขาบากบั่นทำธุรกิจ
มันช่างยากเสียเหลือเกิน แม้แต่เรื่องจะหาเงินมาลงทุน
แต่ทุกวันนี้ เขามีความสามารถเรื่องการบริหารเงินลงทุน
ทำให้เขาเจอโอกาสดีๆ ที่ไม่ต้องไปเริ่มต้นตั้งแต่ต้น
เขาเพียงแต่มองหาธุรกิจที่จะไปต่อยอดให้เจอ
และเขาเองก็ไม่ได้เอาเปรียบธุรกิจเหล่านั้นด้วย
หากแต่เข้าไปช่วยให้ธุรกิจเหล่านั้นผ่านพ้นวิกฤตไปได้
และต่อยอดอนาคตของธุรกิจให้เติบโตอีกต่างหาก
โดยเจาะจงไปที่ธุรกิจที่มีองค์ประกอบครบตามเงื่อนไขที่จะพลักดันเข้าตลาดหลักทรัพย์
เพราะเพียงข้ามคืน ก็เป็นเศรษฐีอย่างท่านเศษฐีไม้เท้าทองคำบอกไว้จริงๆ

"อืมมมม.... นี่สินะ ที่ใครๆ เขาเรียกว่า นักลงทุน"
ชายหนุ่มคิดในใจ และเข้าใจที่มาที่ไปของการร่ำรวยของท่านเศรษฐีไม้เท้าทองคำ...
นอกจากลงทุนสร้างธุรกิจของตนเองแล้ว
ก็เข้าไปลงทุนต่อยอดในธุรกิจของคนอื่นด้วย
ทำให้ท่านเศรษฐี มีธุรกิจมากมายที่ทำเงินให้
พอได้เงินมาก ก็ทำให้ลงทุนในธุรกิจอื่นต่อไปได้อีกมาก
เงินมันก็ไปต่อเงินมาให้เรื่อยๆ โดยที่เราเป็นผู้นั่งควบคุมการทำงานของเงิน

"ไม่น่าเชื่อว่าเราจะสามารถมีเงินเป็นลูกน้อง ทำงานหาเงินให้เรา"

ขณะที่เฝ้ารอธุรกิจใหม่ เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์
การเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ไม่ใช่จะเข้าได้เพียงชั่วข้ามคืน
ขบวนการตรวจสอบต่างๆ ต้องใช้เวลา
ซึ่งมันก็กินเวลาที่เหลืออยู่ของหนุ่มน้อยชาวนาให้หมดไปด้วย...

เดือนสุดท้ายผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มไม่สามารถที่จะสร้างฝันให้เป็นจริงขึ้นมาได้
ไม่สามารถที่จะสร้างตัวร่ำรวยที่สุดในเมืองได้ ภายในเวลา 1 ปี...


"มีไม่กี่คนหรอกนะ ที่ไปถึงฝันที่ตนเองตั้งไว้ ตามเวลาที่กำหนด"
เสียงเศรษฐีไม้เท้าทองคำเอ่ยขึ้น ทำลายความเงียบสงบ
ชายหนุ่มหันหน้าไปตามเสียงนั้น ด้วยสีหน้าเรียบเฉย


"การตั้งเป้าหมายไว้ ก็เพื่อให้ตัวเรามีทิศทางที่จะเดินไปหา
การกำหนดระยะเวลา หรือเส้นตาย ก็เพื่อเร่งเร้าตัวเราเอง
การที่เธอก้าวขึ้นมายืน ณ จุดนี้ได้ ก็เพราะเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของเธอนั่นเอง...
ถึงแม้เวลาที่ตั้งไว้ มันจะหมดลงไปแล้ว แต่เธอก็เดินมาได้ไกลกว่าครึ่ง
และที่สำคัญ... ถ้าเธอจะสู้ต่อ เธอก็สามารถไปถึงฝันได้อย่างแน่นอน"
คำพูดของเศรษฐี กระตุ้นให้ชายหนุ่มคิดตาม แต่เขายังพูดอะไรไม่ออก...


"เป้าหมาย สลักไว้บนแผ่นหิน...
...แผนงาน เขียนลงบนผืนทราย"
พูดจบ เศรษฐีก็นิ่งเงียบให้ชายหนุ่มได้คิด

"เหตุผลว่า ทำไมแผนงาน จึงต้องเขียนลงบนผืนทราย
ทำไมจึงไม่สลักไว้บนแผ่นหินเหมือนเป้าหมาย เธอคงเข้าใจสินะ"
เศรษฐีถามขึ้น

"เข้าใจครับ เพราะว่า... กว่าจะไปถึงเป้าหมายได้
เราคงต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการ เปลี่ยนแปลงแผนงานเรื่อยๆ
เมื่อ วิธีนี้ ใช้ไม่ได้ ก็ต้องลบทิ้งเพื่อเปลี่ยนเป็นอีกวิธี
แต่ทุกวิธี ก็เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย ซึ่งสลักไว้บนแผ่นหิน ไม่มีวันลบเลือน"
ชายหนุ่มตอบด้วยความมั่นใจ


"ฉันเข้าใจ ทุกอย่างที่เธอทำทั้งหมด ก็เพื่อองค์หญิง
เธอจึงต้องทำตัวเอง ให้เข้าเงื่อนไขที่พระราชาตั้งไว้
เพื่อให้ได้รับสิทธิ ในการเข้ารับการคัดเลือก...
แต่ฉันว่า ฉันอ่านอะไรในใจของเธอบางอย่างออกนะ"
เศรษฐีตั้งข้อสงสัย

"อะไรหรือครับ" ชายหนุ่มถามขึ้น

"ถึงแม้วันนี้ เธอสามารถเข้าเงื่อนไขของพระราชา
ฉันก็คิดว่า เธอคงลำบากใจ และตัดสินใจไม่ถูก
ว่าจะเข้าร่วมคัดเลือกหรือไม่"
เศรษฐี เอ่ยขึ้น ทำเอาชายหนุ่มอึ้งไปเหมือนกัน

"ท่านรู้ความคิดของผมด้วยหรือครับนี่" ชายหนุ่มถามออกไป


"รู้สิ... เลือดนักธุรกิจ มันฝังเข้าไปในสายเลือดของเธอแล้ว
เธอไม่อยากทิ้งเส้นทางสู่ความสำเร็จนี้ เพื่อไปใช้ชีวิตในอีกแบบ
ความท้าทายของโลกธุรกิจ มันปลุกเร้าเธอ กระตุ้นให้เธอกระชุ่มกระชวย..."
เศรษฐียิ้มให้ชายหนุ่ม


"จริงครับ... บางครั้ง ผมยังแอบดีใจเลย ที่ผมทำไม่สำเร็จในเวลานี้
และบางครั้ง ผมก็คิดว่า ผมไม่ใช่ในแบบที่จะเป็นนั้น
แต่ แบบที่กำลังเป็นอยู่นี่แหล่ะ คือตัวผม
การอภิเสกสมรสกับองค์หญิง ทำให้ผมต้องเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตไป...
ซึ่ง นั่น ไม่ใช่ผมแน่ๆ"
ชายหนุ่มพูดด้วยความหนักแน่น


"แล้วองค์หญิงล่ะ" เศรษฐีถามขึ้น

"ที่ผ่านมา เหมือนกับผมหลอกตัวเองเรื่ององค์หญิง
ไม่มีโอกาสพูดคุย ไม่มีโอกาสได้รู้จัก
เห็นเพียงแค่รูปลักษณ์ที่แสนจะสวยงามเท่านั้น
และที่สำคัญ ผมเองนั้น คู่ควรกับองค์หญิงหรือไม่"
ชายหนุ่มเปิดใจ

"ผมคงจะอึดอัดมากเลย หากได้อภิเสก จริงๆ
ความรู้สึกต่ำต้อยของตัวเอง มันจะต้องหลอกหลอนไปจนวันตายแน่ๆ
ผมคงรับไม่ได้กับการที่ตัวเอง ไม่สามารถเป็นผู้นำครอบครัวได้อย่างสมบูรณ์...
ผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไร.... มันเหมือนกับว่า
ผมทนไม่ได้ที่จะเป็นชายหนุ่มผู้โชคดี เหมือนหนูตกถังข้าวสาร
อาจจะมีหลายๆ คนอยากจะเป็นแบบนั้น...
แต่ผมไม่... ผมอยากเป็นผู้นำครอบครัว ด้วยลำแข้งของผมเอง"


"เธอก็ไม่ต่างอะไรกับฉันหรอก...
ในวันที่ฉันเพิ่งจะเริ่มสร้างเนื้อสร้างตัว ยังเป็นพนักงานบริษัทอยู่
ฉันมีโอกาสได้พบรักกับลูกสาวเจ้าของบริษัท
ใครๆ ก็รู้ว่าเรารักกัน และก็ไม่มีใคร ขัดขวางด้วย
แม้แต่ครอบครัวของเธอ..."
เศรษฐีเล่าความหลังให้ชายหนุ่มฟัง

"ฉันยังโชคดีกว่าเธอ ที่ได้มีโอกาสคบหากัน
เราก็รู้ว่า เรารักกัน แต่..."


"ฉันรับไม่ได้กับความรู้สึกต่ำต้อย เมื่อเข้าไปอยู่ในครอบครัวของเขา
มันเหมือนกับฉันไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้
ฉันอยากจะเป็นผู้นำโดยสมบูรณ์
อยากประสบความสำเร็จด้วยลำแข้งของตนเอง
ฉันจึงเข้าใจเธอไงล่ะ"


"แล้วเธอคนนั้นไปไหนล่ะครับ ท่านไม่ได้แต่งงานกันเหรอครับ"
ชายหนุ่มถามขึ้น


"ไม่ได้แต่งงานกันหรอก... ฉันขอเวลาสร้างตัว 4 ปี
ใน 4 ปีนี้ เราจะเป็นอิสระต่อกัน เมื่อครบ 4 ปีแล้ว
หากเราทั้งคู่ยังไม่มีคนอื่น เราค่อยมาสานต่อเรื่องความรักของเรา"
เศรษฐีเล่าถึงความหลังอีกครั้ง

"ปีที่ 2 เท่านั้น เธอก็แต่งงานกับลูกชายเศรษฐีคนหนึ่ง
ซึ่งตอนนั้น ฉันก็ยังสร้างเนื้อสร้างตัวไปไม่ถึงไหน"


"แล้วท่านเสียใจมากไหมครับ" ชายหนุ่มถามขึ้น


"ไม่รู้สินะ วันแรกที่รู้เรื่อง ก็เจ็บแปล๊บๆ บ้าง
แต่ฉันดีใจที่เธอได้คนที่เหมาะสมกับเธอมากกว่า
เธอคงมีความสุข มากกว่าอยู่กับฉัน"


"แล้วนี่เธอจะทำอย่างไรต่อไปล่ะ..." เศรษฐีถามกลับ


"ผมก็จะลุยต่อไปครับ เป้าหมายของผม ยังเหมือนเดิม
คือ รวยที่สุดในเมืองนี้ แต่ไม่ใช่เพื่อให้ได้เข้าเงื่อนไขแล้วนะครับ
แต่เพื่อพิสูจน์ศักยภาพ ของการเกิดมาเป็นคน ๆ หนึ่ง
ว่าจะมีศักยภาพสักแค่ไหน
ในเมื่อคนเหมือนกันทำได้ ผมก็ต้องทำได้เช่นกัน"
ชายหนุ่มตอบ




#############################
วันเวลาผ่านไป ธุรกิจของชายหนุ่มสามารถเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้
ทีละตัวสองตัว ราคาต่อหุ้น เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวนัก
สร้างผลกำไรให้กับชายหนุ่มเป็นอย่างมาก


ทุกธุรกิจ ถึงแม้จะเจอปัญหาอุปสรรค์ก็จริง
แต่ก็สามารถฟันฝ่าอุปสรรค์ไปได้ด้วยดี
และเจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
รวมทั้งมีธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้นเช่นกัน


กลับมาข้างฝ่ายพระราชาบ้าง
พระราชาได้กำหนดการ เรียกชุมนุมองค์ชายจากเมืองต่างๆ
เพื่อเข้าสู่พิธีคัดเลือกราชบุตรเขย

ในวันที่ทุกอย่างพร้อมแล้ว พระราชาก็ทรงให้นำขบวนออกประพาสป่า
พระราชาทรงพาคณะประพาสป่าด้วยความเกษมสำราญ
จนเมื่อถึงที่เหมาะๆ แห่งหนึ่ง พระราชาทรงให้หยุดขบวน

"เราจะหยุดพักกันที่นี่" พระราชาตรัสขึ้น

เหล่าผู้ติดตามทั้งหลาย ต่างก็จัดแจงทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง
หลังจากทุกอย่างเข้าที่เข้าทางเรียบร้อยแล้ว
พระราชาทรงขึ้นประทับยังพระที่นั่ง
องค์ชายจากเมืองต่างๆ เรียงรายอย่างเป็นระเบียบ
พร้อมทั้งเหล่าเสนา-อำมาต ที่รอถวายบังคมอยู่แล้ว
ต่างพากันกล่าวคำถวายบังคมอย่างพร้อมเพียงกัน


เมื่อถวายบังคมเสร็จ องค์หญิงก็ทรงประทับนั่งยังพระที่นั่งของพระองค์
วันนี้ องค์หญิงทรงสวยงามสดใสเป็นพิเศษกว่าทุกวัน
เนื่องจากทรงเป็นวันสำคัญของพระองค์
ถึงแม้โลกจะเปลี่ยนไปขนาดไหนก็ตาม
แต่พระองค์ก็ทรงยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเภณี
พระองค์ ไม่เคยลิ้มลองความรักเลย เนื่องจากไม่เคยมีโอกาสได้คบหากับใคร...
และพระองค์ก็เข้าใจดีว่า... พระองค์ต้องทรงเลือกคู่ครองด้วยวิธีนี้
วิธีที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ
ใครก็ตาม... ที่ได้รับการคัดเลือกในวันนี้
เขาคนนั้นคือคู่ครองของพระองค์
ทันใดนั้นเอง.....


"ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท"
ทุกสายตาต่างหันมาจับจ้องที่ทหารเสนารักษ์ผู้เดินเข้ามายังหน้าพระที่นั่ง


"มีอะไรรึ..." พระราชาทรงถามขึ้น


"มีชายคนหนึ่ง จะขอเข้าเฝ้า พะย่ะค่ะ" ทหารรายงาน


"ใครกันรึ..." พระราชาทรงถาม


"เขาให้ทูลว่า เขาคือชาวนาคนที่พระราชาทรงให้หนูตายกับเขาเพื่อสร้างตัว พะย่ะค่ะ"
ทหารรายงานต่อ


"อ้อ... เจ้าหนุ่มชาวนาคนนั้นนั่นเอง... ให้เขาเข้ามาได้"
พระราชาทรงจำชายหนุ่มได้


อึดใจเดียว ทั้งเสนารักษ์และชายหนุ่มก็มาอยู่ต่อหน้าพระที่นั่งแล้ว
ทุกสายตา ต่างจับจ้องมาที่ชายหนุ่ม ซึ่งบัดนี้
ไม่เหลือหลอของคราบชาวนาจนๆ อีกเลย
แต่กลับอยู่ในภาพของนักธุรกิจผู้สง่างาม ดุจดังเทพบุตรจุตติลงมาเกิด
องค์ชายทุกพระองค์ ต่างก็จดจำคู่แข่งคนสำคัญนี้ได้เป็นอย่างดีเช่นกัน
รวมทั้งองค์หญิงด้วย....


ในพระทัยขององค์หญิง เต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก
พระกรของพระองค์สั่นขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
ทรงร้อนวูบวาบ ไปทั่วพระวรกาย
ไม่ต้องบอก พระองค์ก็รู้ดีว่า พระพักตร์ของพระองค์ต้องแดงอย่างแน่นอน...


"ถวายบังคมพะยะคะ"
ชายหนุ่มทำการถวายบังคมพระราชา


"ทำตัวตามสบายเถอะ..."
พระราชาตรัสกับชายหนุ่ม


"เป็นพระมหากรุณา พะยะคะ"
ชายหนุ่มกลับคืนสู่ท่าปกติ


"เป็นอย่างไรบ้างล่ะ... หนึ่งปีผ่านไป มันช่างรวดเร็วเหลือเกินนะ"
พระราชาถามขึ้น


"พะยะคะ" ชายหนุ่มน้อมรับคำ


"แต่หม่อมฉัน ไม่สามารถสร้างตัว ให้รวยที่สุดในเมืองได้ทันเวลา พะยะคะ"
ชายหนุ่มทูลขึ้น


"เรารู้แล้ว..."
พระราชาตรัสขึ้น

"เรารับรู้เรื่องราวของเธอ จากเศรษฐีไม้เท้าทองคำ ตลอดเวลา
เพราะเศรษฐีไม้เท้าทองคำ เป็นสหายของเราเอง"
พระราชาตรัสต่อ ขณะที่ชายหนุ่มอึ้งไปกับสิ่งที่ได้ยินมา


"เศรษฐีไม้เท้าทองคำ บอกกับเราว่า...
ในไม่ช้านี้ เธอจะต้องเป็นคนรวยที่สุดในเมืองนี้ อย่างแน่นอน"
พระราชาตรัสอย่างชื่นชมชายหนุ่ม


"หม่อมฉันมาในวันนี้ เพื่อแจ้งให้พระองค์ทรงทราบว่า
หม่อมฉันไม่สามารถสร้างตัวให้เข้าเงื่อนไขได้...
เพราะหม่อมฉันไม่ทราบว่าพระองค์ทรงรู้เรื่องนี้แล้ว พะยะคะ"
ชายหนุ่มกราบทูลพระราชา


"ไม่เป็นไรหรอก...
ในเมื่อเธอไม่สามารถทำตามเงื่อนไขได้
เธอก็ต้องยอมรับว่าเธอหมดสิทธิในการเข้ารับการแข่งขันคัดเลือกกับองค์ชายอื่นๆ"
พระราชาตรัสออกมา

"แต่เธอก็สามารถอยู่ร่วมชมการคัดเลือกนี้ได้ เราอนุญาต"


"เป็นพระมหากรุณาแก่หม่อมฉันอย่างเหลือล้น พะยะคะ"
ชายหนุ่มก้มลงถวายบังคม


องค์หญิงได้ยินการสนทนามาโดยตลอด
เมื่อถึงตรงนี้ พระหฤทัยของพระองค์ เจ็บแปล๊บขึ้นมา
เหมือนถูกทิ้มแทงด้วยสิ่งของแหลมคม
พระองค์ทรงกลั้นพระอัสสุชล
ที่อยู่ๆ ก็เอ่อล้นขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ไม่ให้หลั่งออกมา

"ทำไมเราจึงรู้สึกเจ็บแปล๊บแบบนี้ด้วยนะ"
องค์หญิงทรงดำริอยู่ในพระทัย

"เราไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย
ครั้งแรกที่ได้เจอเขา เราก็รู้สึกอีกแบบ อย่างมีความสุข
พอได้รู้ว่าเขาไม่มีสิทธิเข้ารับการคัดเลือก
เรากลับรู้สึกในอีกแบบ อย่างมีความทุกข์"

"ทำอย่างไรได้ล่ะ...
เราต้องทำตามประเภณี
ถ้าให้เราเลือกคู่ครองเองได้
เราคงเลือก เขาคนนี้อย่างแน่นอน"
องค์หญิงทรงพยายามซ่อนความรู้สึกเหล่านี้ไว้ในพระหฤทัย



"เอาล่ะ.... ณ เวลานี้ เราจะได้ทำการคัดเลือกราชบุตรเขย"
พระราชาทรงประกาศให้ทุกคนได้ทราบ


"เราได้เตรียมวิธีการไว้เรียบร้อยแล้ว
ใครที่สามารถเอาชนะในข้อคัดเลือกของเราได้
ผู้นั้น จะเป็นผู้ที่ได้อภิเสกกับธิดาของเรา"
พระราชายังคงตรัสอย่างทรนงค์องอาจ


"กติกามีอยู่ง่ายมาก..."
พระราชาตรัสขึ้น

"ใครก็ตาม ที่สามารถทำให้ช้างของเรา ยกขาขึ้นได้พร้อมกันทั้ง สี่ขา
คนผู้นั้นจะเป็นผู้ชนะการแข่งขันนี้"
พระราชาบอกเงื่อนไขการแข่งขัน พร้อมกับคิดในพระทัยว่า
แม้แต่ควาญช้างทุกคน ก็ไม่สามารถทำได้
อำมาตย์ผู้หนึ่ง ที่ทรงคิดเงื่อนไขนี้ให้พระองค์
กราบทูลว่า เขาเคยเป็นควาญช้างมาก่อน
รับรองว่า วิธีนี้ ไม่มีผู้ใดทำได้อย่างแน่นอน

ควาญช้างทำได้อย่างเก่งที่สุดก็ ยกเพียง สามขา เท่านั้น
ขนาดยก สามขา ก็ยังหาผู้ที่จะฝึกช้างได้ยากยิ่งนัก... 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น